วันเสาร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เย้ๆ เสร็จแล้ว

เหตุใดไม้ขีดไฟจึงติดไฟได้

ไม้ขีดไฟที่เราใช้กัน อาจแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ

1. ไม้ขีดไฟชนิดพิเศษ ติดไฟได้ง่ายเมื่อขีดบนผิวหยาบใดๆก็ได้ ทำได้โดย นำก้านไม้ขีดทั้งอันจุ่มสารละลายอัมโมเนียมฟอสเฟต เพื่อป้องกันการลุกลามเมื่อเกิดการลุกไหม้ อันเป็นผลเนื่องมาจาก การหยิบถือโดยขาดความระมัดระวัง ขั้นต่อไปนำปลายข้างหนึ่งจุ่มพาระฟินเหลว เพื่อทำเป็นหัวไม้ขีด แล้วจึงนำไปจุ่มลงในสารผสมของกาว ตะกั่วออกไซด์ และสารประกอบฟอสฟอรัสตามลำดับ

การขัดสีทำให้สารประกอบของฟอสฟอรัส และตะกั่วเกิดการลุกไหม้ ทำให้พาระฟินติดไฟ และลุกลามไปถึงก้านไม้ขีดด้วย

2. ไม้ขีดไฟชนิดธรรมดา ติดไฟได้เมื่อเอามาขีดที่ข้างกลักไม้ขีด หัวไม้ขีดประกอบด้วยสารเคมี(แอนติโมนีซัลไฟด์ และโปตัสเซียมคลอเรต)ซึ่งให้ก๊าซออกซิเจนเพื่อช่วยให้ติดไฟง่ายขึ้น ข้างกลักไม้ขีดประกอบด้วยฟอสฟอรัสแดง (ชนิดที่ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์) เมื่อเราขีดหัวไม้ขีดที่ข้างกลักจะทำให้ฟอสฟอรัสแดงระเหิดออกมา รวมกับออกซิเจนที่เกิดจากหัวไม้ขีด จึงทำให้หัวไม้ขีดติดไฟได้

วิธีการฝึกสติ

หากความหมายของการ "ตื่น" คือ การมีสติ การรู้ตัว และไม่เผลอหลงไปกับพฤติกรรมหรือความคิดที่เราเคยชิน การเจริญสติในชีวิตประจำวันย่อมเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับผู้ปฏิบัติ แต่การ ตื่น' ในชีวิตประจำวันนั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก ... แต่ก็ไม่ได้ยากลำบากจนเกินไปเช่นกัน
จากการพูดคุยกับพี่น้องผู้ปฏิบัติหลายท่าน เราได้รับฟังประสบการณ์ที่แต่ละคนแลกเปลี่ยนว่า มีวิธีการปฏิบัติส่วนตัวในชีวิตประจำวันกันอย่างไรบ้าง เราจึงอดไม่ได้ที่จะนำเสนอกุศโลบายที่แยบคาย และน่าสนุกยิ่งสำหรับนักปฏิบัติในคอลัมน์ครั้งนี้
1. ระฆังแห่งสติในคอมพิวเตอร์
เหมาะมากสำหรับผู้ที่ทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน เมื่อได้ยินเสียงระฆังจากโปรแกรม (เราสามารถตั้งไว้ได้ว่าจะให้ดังทุก 15 นาที หรือ ทุกชั่วโมง ที่กังวานใส เราก็เพียงหยุดทุกสิ่งที่ทำอยู่ รวมถึงหยุดคิดด้วย แล้วกลับมาอยู่กับลมหายใจแห่งสติสัก 3 ลมหายใจ แล้วจึงค่อยทำงานต่อ ส่วนใครจะหายใจไปด้วย ยิ้มไปด้วย ก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด
2. ระฆังแห่งสติในชีวิตประจำวัน
สำหรับผู้ที่ไม่ได้อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ก็สามารถเจริญสติได้ โดยการหาอะไรสักอย่างที่มีอยู่ในชีวิตประจำวันมาเป็น
"ระฆังแห่งสติ" ให้กับตนเอง บางคนใช้เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นก็ตามลมหายใจก่อนรับโทรศัพท์ มีพี่หมอท่านหนึ่งได้แลกเปลี่ยนว่า เพราะการเป็นหมอดมยาในห้องผ่าตัด (วิสัญญีแพทย์) พี่หมอจึงใช้เสียงของเครื่องปั๊มอากาศในห้องผ่าตัดแทนระฆัง เมื่อได้ยินเสียงเครื่องปั๊มอากาศพี่หมอก็กลับมาอยู่กับลมหายใจ แล้วชวนให้ผู้ป่วยกลับมาอยู่กับลมหายใจพร้อมกัน พี่หมอบอกว่านอกจากตัวเองแล้ว ยังสังเกตได้ว่าผู้ป่วยที่เคยกังวล ค่อยๆ หลับไปด้วยความผ่อนคลายยิ่งขึ้นด้วย งานนี้เรียกว่าหนึ่งได้สองกันเลยเชียว
3. ทางเดินแห่งสติ
เราอาจเลือกเส้นทางหนึ่งที่เราต้องเดินในทุกวันให้เป็นทางเดินแห่งสติของเราเอง อาจเป็นทางเดินที่ไม่ไกลนัก เช่น จากที่จอดรถไปห้องทำงาน หรือจากตึกหนึ่งไปสู่อีกตึกหนึ่งหรือบันไดระหว่างชั้นที่เรามักต้องขึ้นลงบ่อยๆ ขอให้เราตั้งใจเอาไว้ว่า ในเส้นทางนี้เราจะเดินอย่างมีสติในทุกย่างก้าว ให้เป็นเส้นทางที่เดินแล้วเราได้ผ่อนคลาย เป็นการเดินที่สร้างรอยยิ้มให้กับเราก็เพียงพอแล้ว

4. ไฟแดงคือหยุดอย่างแท้จริง
น้องคนหนึ่งแลกเปลี่ยนว่า แทนที่จะปล่อยความหงุดหงิดไปกับรถติดบนท้องถนน เธอเลือกที่จะใช้ไฟแดงนั้นเป็นอุปกรณ์ทำให้เธอได้กลับมาอยู่กับลมหายใจ และยิ้มให้กับไฟแดงซะเลย ยิ่งติดไฟแดงบ่อยเท่าไหร่ก็ยิ่งมีโอกาสกลับมาอยู่กับลมหายใจเท่านั้น เธอบอกไว้พร้อมรอยยิ้ม
5. จักรวาลในจานข้าว
บางคนจะที่ชอบทานก็สามารถยึดเอาเป็นสรณะได้เช่นกัน เพราะยิ่งทานก็ยิ่งมีโอกาสได้พิจารณาอาหารได้มากครั้งเท่านั้น เราได้มีโอกาสฝึกมองอย่างลึกซึ้งว่าอาหารหรือขนมที่อยู่ตรงหน้านั้นมาจากไหนบ้าง มีผู้คนที่ทำงานหนักด้วยความรักความเอาใจใส่อยู่มากมายเพียงใดในอาหารจานนี้ ที่สำคัญเรากำลังจะทานด้วยความรู้สึกอย่างไร เพียงเท่านี้เวลาในการทานอาหารก็กลายเป็นเวลาอันประเสริฐแห่งการปฏิบัติแล้ว
6. เพลงพาใจเบิกบาน
หมู่บ้านพลัมมีบทเพลงที่เชื้อเชิญให้กลับมาอยู่กับลมหายใจ กับปัจจุบันขณะ กับตัวเราเอง กับความเบิกบาน มากมาย เวลาที่ขุ่นมัวเราอาจจะฮัมเพลงเหล่านั้นขึ้นมาเบาๆ ซึ่งแม้เพียงแผ่วเบา ดอกไม้ก็สามารถบานขึ้นในใจได้เช่นกัน หรือใครจำเพลงของหมู่บ้านพลัมไม่ได้ อาจเลือกเพลงที่มีความหมายดีๆ ที่ชอบเป็นการส่วนตัวแทนก็ได้ ไม่ว่ากัน
7. ปฏิบัติกับสังฆะ
การดำรงสติในชีวิตประจำวันเป็นเรื่องไม่ง่าย แต่การปฏิบัติร่วมกันเป็นหมู่คณะช่วยให้การปฏิบัติง่ายขึ้นได้ เวลาเรายิ้มไม่ค่อยออก พี่น้องข้างหน้าจะส่งยิ้มให้เรายิ้มตอบ เวลาเราไม่ค่อยมีสติ พี่น้องข้างขวาจะปฏิบัติอย่างมีสติให้เราเห็น เวลาเราหลงลืมการปฏิบัติ พี่น้องข้างซ้ายจะปฏิบัติอย่างถูกต้องให้เราได้ทำตาม เวลาเราหมดกำลังใจ พี่น้องข้างหลังจะส่งพลังแห่งสติและความเบิกบานมาเกื้อกูล
"สังฆะอยู่รอบตัวเราเพื่อเกื้อกูลกันและกัน ถ้าเป็นไปได้ควรปฏิบัติร่วมกันเป็นสังฆะดีกว่าปฏิบัติเพียงลำพังคนเดียว" หลวงปู่กล่าวเอาไว้เช่นนั้น
8. ยิ้มช่วยท่านได้
เพื่อนนักปฏิบัติคนหนึ่งที่แม้จะไม่รู้จักหลวงพี่นิรามิสาเป็นการส่วนตัว แต่เพราะชอบรอยยิ้มอันเบิกบานของหลวงพี่ จึงตัดเอารูปของหลวงพี่จากนิตยสารฉบับหนึ่งเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะ เมื่อหงุดหงิดหรือมีความโกรธขึ้นมา พี่คนนี้ก็จะเปิดลิ้นชักออกมาและพบกับรอยยิ้มของหลวงพี่ ในทันใดก็สามารถสัมผัสถึงรอยยิ้มของหลวงพี่และสามารถยิ้มกลับไปได้ เมื่อรอยยิ้มเกิด ความโกรธก็จากลาไปในขณะเดียวกัน : )
9. หลวงปู่ช่วยท่านได้
พี่คนหนึ่ง (อักษรย่อ ต.) เป็นคนชอบดื่มเหล้า เมื่อปฏิบัติก็รับศีลและตั้งใจว่าจะลดการดื่มลง เมื่อกลับไปที่บ้าน พี่ต. นำใบรับศีลที่ได้วางไว้หน้าขวดเหล้าในตู้เพื่อเป็นระฆังสติ เตือนใจยามที่เพื่อนมาที่บ้านแล้วจะสังสรรค์กัน เท่านั้นไม่พอ พี่ต. ยังนำรูปหลวงปู่ติช นัท ฮันห์ วางไว้หลังใบรับศีล เผื่อว่าวันไหนอดใจไม่ไหว หยิบใบรับศีลออกก็จะยังได้เจอกับหลวงปู่อีกเป็นปราการด่านสุดท้าย และขอรายงานว่า จนถึงวันนี้เป็นเวลาเกือบ 2 ปี ขวดสุราของ พี่ต. ยังไม่พร่องไปเลยสักนิด เพราะการปฏิบัติเช่นนี้นี่เอง
10. ...............
สำหรับข้อนี้ขอเว้นว่างเอาไว้ให้คุณผู้อ่านได้เติมวิธีปฏิบัติของตัวเองว่ามีวิธีการ "
ตื่น" อย่างไรบ้าง ...๐

นิสัย กับ สันดาน

         โบราณว่า "สันดอนขุดง่าย สันดานขุดยาก" บางคนอาจจะสงสัยว่า "สันดอน" ที่ว่าคืออะไร แล้วเหตุใดจึงเป็นคำพูดเปรียบเปรยกับคำว่า "สันดาน"
คำว่า สันดอน เป็นคำนาม หมายถึงดินหรือกรวดทรายเป็นต้นซึ่งน้ำพัดเอามารวมกัน ปรากฏนูนยาวอยู่ใต้น้ำ ทำให้สูงเป็นสันขึ้น
ส่วนคำว่า สันดาน เป็นคำนาม หมายถึง อุปนิสัยที่มีมาแต่กำเนิด เช่น มีสันดานดี มีสันดานเลว หากใช้ในภาษาปากมักใช้ไปในทางไม่สู้จะดี เช่น สันดานของเขาเป็นเช่นนี้ อย่าไปถือเลย เมื่อดูคำอธิบายทั้ง ๒ คำแล้ว คงเห็นภาพกันชัดเจนขึ้นว่าที่โบราณเปรียบไว้นั้นเพื่อให้เห็นว่า
การขุดลอกนำดินทรายที่มาทับถมอยู่ในน้ำออกไปทำได้ง่ายกว่าจะแก้อุปนิสัยที่มีมาแต่กำเนิด
      
    ที่กล่าวถึงคำว่า "สันดาน" ขึ้นมาก่อนนี้เพื่อจะโยงถึงคำอีก ๒ คำ คือคำว่า"นิสัย" และ "อุปนิสัย" 
คำว่า นิสัย เป็นคำนาม หมายถึง ความประพฤติที่เคยชิน เช่น เขาตื่นเช้าจนเป็นนิสัย คำว่า "นิสัย" ยังมีความหมายว่า ที่พึ่ง, ที่พักพิง, ที่อาศัยเช่น ผู้อุปสมบทขอฝากตัวเป็นศิษย์พระอุปัชฌาย์เรียกว่า ขอนิสัย แต่ในที่นี้จะไม่กล่าวถึงความหมายนี้
คำว่า อุปนิสัย เป็นคำนาม หมายถึง ความประพฤติที่เคยชินเป็นพื้นมาในสันดาน เช่น ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จไปเทศน์โปรดผู้ใดจะต้องทรงพิจารณาถึงอุปนิสัยของผู้นั้นก่อน และยังหมายถึง ความประพฤติที่เคยชินจนเกือบเป็นนิสัย เช่น นักเรียนคนนี้มีอุปนิสัยดี
ความหมายของคำ ๓ คำดังกล่าวที่ประมวลจากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช ๒๕๔๒ มีความแตกต่างกัน จึงควร
พิจารณาเลือกใช้คำให้เหมาะสมกับบริบทและกาลเทศ

20 คำ โกหกของผู้หญิง ที่ผู้ชายไม่เคยรู้

1. "ชีวิตนี้ฉันจะไม่ขอรักใครอีกเมื่อไม่มีคุณ"
ใครได้ยินคำนี้อย่าหลงดีใจ เพราะเค้าสามารถรักคนใหม่ได้
เมื่อต้องเลิกกันไปแล้วเพราะเค้าทำให้คุณรักได้คนอื่นก็รักได้
2. "คุณจะเป็นผู้ชายคนเดียวที่ฉันรักมากที่สุด"
แม้เค้าจะแทงกั๊กประมาณว่าถึงจะมีกิ๊กใหม่ในอนาคต
เค้าก้อไม่สามารถรักเท่าที่รักเธอ แต่อารมณ์ผู้หญิงแปรปรวนนะ
บางครั้งยังไม่กล้าพูดว่ารักกันเลย ชอบเบี่ยงเบนว่าไม่รู้
แค่นี้ขนาดเจ้าตัวยังไม่รู้เลย
3. "เราจะอดทนเป็นแฟนกันจนแต่งงานในอนาคต"
เค้าพูดด้วยความรู้สึกแบบเด็กๆที่ยังไม่ได้ผ่านสารพัดร้อยล้าน
เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า ซึ่งอาจทำให้ความรักสะดุดเมื่อไหร่ก้อได้ เมื่อหล่อนอาจสติแตกก่อนถึงวันนั้น
4. "ฉันไม่เคยยอมใครขนาดนี้มาก่อน"
ถ้าเค้าเป็นคนที่นิสัยยอมคน เค้าก้อจะยอมกับผู้ชายทุกคนนั่นแหล่ะ
แต่ถ้าไม่ยอมหละคุณเจ็บตัวแน่นอนต้องยอมเค้าโดยที่เธอไม่คิดปรับปรุง
5. "สิ่งที่ฉันทำลงไป พยายามทำดีที่สุดแล้ว"
ถ้าเกิดเค้าได้พยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว
ต่อให้ผู้ชายคนนั้นหูหนวกหรือตาบอดยังไงก้อต้องรู้สึกได้
แต่เธอเล่นแต่ให้ผู้ชายพยายามเต็มที่ก่อนไม่คิดทุ่มเต็มที่
เหมือนกันกลัวเสียเปรียบซะงั้น
6. "ก้อฉันเป็นของฉันหยั่งงี้มานานแล้ว"
เค้าพูดเพื่อให้คุณยอมรับนิสัยห่วยแตกของเค้า
โดยอ้างความเป็นตัวของตัวเอง ไม่คิดปรับปรุงเพื่อคุณ
7. "ให้อภัยฉันเถอะ ฉันจะไม่ได้ทำอีกแล้ว"
ธรรมดาที่เค้าจะต้องพูดเพื่อใหการอภัยโทษป้องกันชะตาขาด
และคุณเชื่อหรอว่าเค้าจะไม่พูดคำนี้อีกและอีกๆๆๆๆ
เหมือนมีดที่พร้อมแทงข้างหลังคุณทุกเมื่อ
8. "ไม่รักไม่เป็นไร ขอแค่ให้ฉันได้รักคุณก็พอ"
แค่คุณแสดงให้เห็นว่ายังไงคุณก็ไม่มีวันรักเค้าได้จริงๆ
ขี้คร้านจะรีบเด้งตัวเองจากไปภายในไม่กี่วัน
พร้อมด้วยคำนินทาคุณอีกก้อนใหญ่
9. "คิดถึงจนทนไม่ไหวแล้ว ออกมาเจอกันหน่อยนะ"
เธออาจจะถวิลหาคุณจริงๆ แต่ไม่ได้รุนแรงถึงกับจะลงแดงตาย
เหมือนคุณเป็นยาเสพย์ติดของเค้าขนาดนั้น
10. "ทำไมหรอ..ฉันเลวจนคุณไม่ไว้ใจได้เลยหรอ"
เมื่อมีความไม่พอใจต่อการกระทำของเธอในทุกกรณี
เธอจะต้องรีบปกป้องตัวเอง เพื่อแตะเบรค
ความคิดของคุณ ว่าทำไปเพราะรักคุณ
11. "ขอนอนกอดเฉยๆ ก็พอ"
นั้นหมายถึง การกอดในครั้งแรกที่ใกล้ชิดตัวกันมากขนาดนั้น
ต่อมาคุณจะใจแข็งไหวเหรอ...
12. ฉันรักนะเลยอยากให้คุณเป็นของฉันคนเดียว
เพราะถ้ารักจริงทำไมต้องขอเอาเปรียบเราด้วย
อะไรๆ เรื่องนี้ไม่ได้หรือไง ไม่มีอิสระทำอะไรก็ระแวงเกินเหตุ
13. เค้าคนนั้นเป็นแค่เพื่อนจริงๆ
ไม่มีทางซะหรอกที่เมื่อมีผู้ชายมากิ๊ก
แล้วเธอจะปฏิเสธเป็นแค่เพื่อน
เผื่อเลือกไว้ก่อน ( แค่เพื่อนแต่เห็นโทรมาบ่อยจริง)
14. ผู้ชายคนนั้นเค้ามาชอบฉันเอง
ฟังแล้วน่าภูมิใจที่แม่ตัวดีมีเสน่ห์เหลือร้าย
แต่ช้าก่อนเพราะเพลงของปานนำมาใช้ได้กับคำโกหกคำนี้เสมอ
ตบมือข้างเดียว ไม่ดัง แถมไม่บอกไปหละมีแฟนแล้วโว้ยแล้ว
15. เพื่อนมันลากฉันไป ฉันอยากไปกับมันซะที่ไหนเล่า
ถ้าไม่อยากไปจริงๆ แม้เค้ามาฉุดยังไงก้อไม่ยอม
ดังนั้นถ้าเค้าไม่ถูกเพื่อนเอาปืนจ่อหัว อย่าไปเชื่อว่า
เค้าไม่อยากไปเฮกับเพื่อน ตัดสินใจเข้าข้างตัวเองซะหมด มองข้ามเราไปเลย
16. ฉันไม่ว่างจริงๆ อยากเจอเธอจะตายไป
คำว่าไม่มีเวลาว่างของเค้าก้อคือไม่อยากไปเจอเธอนั่นเอง
และที่มันไม่ว่างเพราะว่าหายไปเฮกับเพื่อนๆ
หรือกิจกรรมที่เร้าใจกว่าของเค้า ดีกว่าอยู่กับเรา
17. ไม่มีทางที่ฉันจะเห็นเพื่อนสำคัญมากกว่าเธอ
ซึ่งเป็นที่รู้ๆกันดีอยู่ว่าคำพูดผู้หญิงจะพูดกับผู้ร่วมแก๊งขาเมาท์ว่า
เฮ้ย ฉันน่ะไม่เคยเห็นแฟนสำคัญกว่าเพื่อนอยู่แล้ว
18. มีอะไรเราต้องไม่ปิดบังกันทุกเรื่อง
แม้จะรักกันปานหายใจปอดเดียวกัน
แต่เชื่อเหอะว่าทุกคนย่อมมีความลับของตัวเองบ้าง
และผู้หญิงไม่มี วันคายความลับของตัวเองออกมาอย่างแน่นอน
ถ้าตัวเองกลัวเดือดร้อนไม่ไว้ใจคนที่รักกัน
19. ถ้าวันไหนต้องเลิกกัน ฉันยังจะห่วงเธอเหมือนเดิม
มันไม่มีทางจะเป็นไปได้อยู่แล้ว
อย่างน้อยที่สุดก้อไม่มีทางว่าจะห่วงใยกันได้เท่าเดิม
20. ถ้าวันไหนที่คุณจะจากไปหรือกลับมา ฉันยังรักคุณนะ
เห็นมีแต่ผู้ชายที่พูดและแคร์โดยที่ในใจเธอคิดว่า
มึงไปได้ก็ดีรำคาญ อยากมาหาเองนี่เจ็บกลับไปสมควร ไม่คิดยังงี้หรอก

แมงมุม ตัว ใหญ่ที่สุดในโลก ( Biggest spider )

Goliath bird-eating spider แมงมุมโกไลแอทกินนก หรือชื่อวิทยาศาสตร์ Theraphosa blondi แมงมุมโกไลแอท เป็นหนึ่งในแมงมุมทารันทูล่า ( Tarantula ) เป็นแมงมุมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่มาของชื่อ โดยชื่อแมงมุมกินนก นั้นมาจากตอนที่ Victorian era ที่ค้นพบมันตอนที่กำลังกินนก ฮัมมิงเบิร์ด ( Hummingbird )
ข้อมูลเฉพาะแมงมุมโกไลแอท กินนก

ความกว้าง 20 เซ็นติเมตรเมื่อยืดขาเต็มที่

น้ำหนักมากกว่า 120 กรัม

แหล่งที่อยู่พบได้ในป่าฝน ทางตอนเหนือ ของอเมริกาใต้ โดยจะอาศัยอยู่ในโพรงใต้ดิน

ตัวเมียจะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุประมาณ 2.5 - 3 ปี และมีอายุได้ยืนยาวถึง 15-25 ปี

ตัวผู้จะมีอายุได้ถึง 3-6 ปี และจะเสียชีวิตเมื่อผสมพันธุ์เสร็จ

สีของแมงมุม สีดำ ไปจนถึงสีน้ำตาลอ่อน และมีสีจางลงบริเวณขา และมีขนปกคลุมทั่วทั้งร่างกาย อก และขา

ตัวเมียจะวางไข่ไว้ได้ทุกพื้นที่ ประมาณครั้งละ 100 - 400 ฟอง และจะฟักตัวใน 2 เดือน

เป็นแมงมุมไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตมนุษย์ และมีเขี้ยวขนาดใหญ่

มีสายตาไม่ดี ใช้การจับกระแสสั่นสะเทือนของพื้นดินในการล่าเหยื่อ

อาหารทานแล้วไม่แก่

อาหารที่เราจะแนะนำต่อไปนี้คืออาหาร 7 อย่างที่จะช่วยชะลอสัญญาณแห่งวัย ไม่ว่าจะเป็นผมร่วง ผิวแห้ง เฉื่อยชา เพื่อให้คุณๆ ดูอ่อนกว่าวัยได้ภายใน 3-6 เดือน มีอะไรบ้างไปดูกันค่ะ...
1. หยุดผมร่วง ด้วยการรับประทานกล้วย ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินบี สามารถช่วยป้องกันผมร่วงได้ดี หากรับประทานกล้วยในปริมาณที่พอดี จะช่วยรักษาเส้นผมให้อยู่คู่หนังศีรษะได้อย่างยาวนาน
 
2. ลดผิวมัน ธัญญาหาร ล้วนอุดมไปด้วยวิตามินบี2 ซึ่งช่วยหยุดยั้งการผลิตน้ำมันส่วนเกินของผลิตภายในร่างกาย ฉะนั้นการรับประทานธัญญาหารทุกเช้าจะช่วยลดปัญหาผิวมัน และเส้นผมมันบางได้ดี     
3. หยุดการลอกของผิวหนัง หากรับประทานปลาแซลมอนในเกลือรมควัน อาหารทะเล หรือสลัดผักเป็นประจำ จะช่วยทำให้หยุดปัญหาการหลุดลอกของผิวหนังได้    
4. ผิวเนียนใสเหมือนเด็ก ใครอยากมีผิวที่เนียนใสเหมือนเด็กทารก ให้กินมะม่วงเป็นประจำ เนื่องจากมะม่วงมีเบต้าแคโรทีนที่ช่วยทำให้ผิวมีสุขภาพดี ช่วยกระตุ้นการสร้างผิวหนัง รวมทั้งหนังศีรษะเพื่อทดแทนของเดิมที่หยาบแห้งและขรุขระให้กลับมีความชุ่ม ชื่นและนุ่มเนียนอีกครั้ง
5. ชะลอผมหงอก ถั่วลิสงอบเนยรวมกับเกล็ดขนมปังที่อบมาร้อนๆ ก่อนมื้ออาหาร สามารถช่วยชะลอผมหงอกได้ เพราะถั่วลิสงมีวิตามินบี ที่สามารถหยุดการเปลี่ยนสีผมให้เป็นสีดอกเลา แถมยังทำให้ผิวหนังดูดีขึ้นด้วย
6. ดูหนุ่มสาวขึ้นอีก 5 ปี ฝรั่งหรือน้ำฝรั่ง ซึ่งอุดมด้วยวิตามินซี จะช่วยเก็บรักษาคอลลาเจนที่เป็นบ่อเกิดแห่งโปรตีนภายใต้ผิวหนัง หรือรับประทานมะละกอ ส้ม ลูกเกดสีดำอบแห้ง ร่วมกับผลไม้อื่นๆ เป็นประจำก็จะช่วยเพิ่มวิตามินซีได้ ทำให้คุณดูอ่อนกว่าวัยมากถึง 5 ปี
7. ปกป้องใบหน้าจากมลพิษ อะโวคาโด ซึ่งอุดมด้วยวิตามินบี จะช่วยทำให้ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย และร่างกายเกิดความต้านทานจากการทำลายในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งการถูกทำลายจากบรรยากาศที่มลภาวะเป็นพิษด้วย          
รู้แบบนี้แล้ว ก็หันมาใส่ใจเรื่องอาหารการกินให้มากขึ้นนะคะ เพราะมีผลต่อสุขภาพร่างกายของคนเราโดยตรงเลยก็ว่าได้...เลือกกินสิ่งที่ดี เพื่อตัวเราเองนะค